s6s6 >หุหุ by ก้อคุง

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

7 ประโยคที่คนประสบความสำเร็จเขาไม่พูดกัน

7 ประโยคที่คนประสบความสำเร็จเขาไม่พูดกัน

 ที่มา ลิ่้ง  กดเลยครับ


ขอบคุณมากมายครับ 

talk

 

ใครๆ ก็อยากประสบความสำเร็จกัน แต่รู้กันหรือไม่ครับว่าวิธีการพูดของคุณซึ่งจะสะท้อนและปลูกฝังวิธีคิดของ คุณก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้คุณไปไม่ถึงฝั่งฝันเอาได้เหมือนกัน นอกจากนี้แล้วคำพูดดังกล่าวอาจจะไปกระทบกับหน้าที่การงานของคุณโดยไม่รู้ตัว อีกต่างหาก
วันก่อนผมได้ไปอ่านเจอโพสต์ของ Ilya Pozin บน LinkedIn ซึ่งหยิบเอาเรื่องคำพูดที่คุณไม่ควรพูด เนื้อหาค่อนข้างน่าสนใจมากเลยขอหยิบเอามาเล่าสู่กันฟังหน่อยแล้วกันนะครับ ว่า 7 ประโยคที่คุณควรเลิกพูด (หรืออย่างน้อยก็คิดก่อนเสียหน่อย) คืออะไรบ้าง

1. นั่นไม่อยู่ในหน้าที่ของฉัน

โดยปรกติแล้ว เมื่อคุณเข้าทำงาน คุณก็จะมีภาพที่ค่อนข้างชัดว่าคุณทำหน้าที่อะไร ต้องรับงานอะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณทำงานไปเรื่อยๆ และหน้าที่การงานของคุณก็ขยับขยายตาม มันก็ย่อมมีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบและการคาดหวังที่ ตามมา รวมไปถึงหลายๆ ครั้งที่หัวหน้าของคุณจะเริ่มโยนงานใหม่ๆ ให้กับคุณ ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะทำให้บางคนไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้และใช้ประโยค ข้างต้นในการระบายออกมา
วิธีการที่ดีคือการของการรับมือสถานการณ์นี้คือการนัดคุยกับหัวหน้าของ คุณเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของคุณให้ชัดเจนว่ามีการปรับเปลี่ยนหรือคาดหวัง เพิ่มเติมอย่างไร ซึ่งการพูดอย่างเป็นทางการนี้ดีกว่าการที่คุณจะใช้เป็นข้ออ้างในการไม่รับ งานเมื่อถูกมอบหมาย เพราะการพูดประโยคนี้มีแต่ทำให้คุณดูขี้เกียจหรือไม่มีความมุ่งมั่นในการทำ งานเท่านั้น

2. มันทำไม่ได้หรอก

การบอกยอมแพ้มันทำให้คุณดูเป็นพวกประเภทชอบยอมแพ้ และคนเหล่านี้มักไม่ได้รับการโปรโมตเท่าไรในองค์กรหรอกครับ ฉะนั้นแทนที่จะยอมแพ้ (แต่ต้น) ลองพยายามหาวิธีการตอบเพื่อชี้แจงหรือหาวิธีอื่นในการทำให้งานสำเร็จ จริงอยู่ว่าปัญหาหลายอย่างนั้นอยู่ในระดับยากชนิดเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้บริหารและหัวหน้าของคุณอยากได้การเสนอแนะหรือแนวคิดที่จะทำให้มัน สำเร็จมากกว่าการบอกว่า “ไม่” อย่างเดียว ซึ่งถ้าคุณพยายามมองหาวิธีการแก้ปัญหา คุณก็จะกลายเป็นคนที่มีค่าในองค์กรไปโดยปริยาย

3. มันไม่ใช่ความผิดของฉัน

ไม่มีใครอยากทำงานกับคนที่โยนความผิดให้กับคนอื่นหรอกครับ การยอมรับความผิดแทนที่จะชี้ไปยังผู้อื่นนั้นทำให้คนอื่นมองคุณในแง่บวก นอกจากนี้การยอมรับความผิดพลาดของตัวเองเป็นคุณสมบัติให้คุณเรียนรู้และโต ขึ้นจากปัญหาดังกล่าว การโทษคนอื่นคือการที่บอกว่าคุณไม่เคยคิดจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เลยต่างหาก

4. นี่จะใช้เวลาแป๊ปเดียวเท่านั้น

ถ้างานของคุณมันไม่ได้เสร็จแบบ “แป๊ปเดียว” จริง คุณก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปสัญญาแบบเกินจริงอะไร แถมในหลายๆ ครั้งนั้น การพูดว่า “แป๊ปเดียว” จะกลายเป็นการทำให้ดูเหมือนว่างานของคุณไม่มีคุณภาพ ดูรีบทำ รวมไปถึงการที่คุณไม่ได้แสดงให้เห็นถึง “คุณค่า” ของงานที่คุณจะทำอีกต่างหาก

5. ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร

การเป็นประเภทลุยเดี่ยวฉายเดี่ยวคงไม่ใช่เรื่องดีเสียเท่าไร (เว้นแต่บริษัทของคุณมีคนเดียวน่ะนะ) การทำงานร่วมกับผู้อื่นให้ได้เป็นหนึ่งในคุณสมบัติจำเป็นของผู้นำที่ดี การลุยเดี่ยวคนเดียวอาจจะทำให้คุณคิดว่าคุณเก่งและเหนือกว่าคนอื่นจริง แต่คนอื่นอาจจะไม่ได้มองแบบนั้น แถมมันยังทำให้คนรอบข้างคุณรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เป็นที่ต้องการของคุณอีก ด้วย (แล้วเขาจะทำงานไปทำไมล่ะ?)

6. มันไม่ยุติธรรม

ชีวิตเรามันไม่ยุติธรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (เอาจริงๆ คือไม่มีอะไรในโลกที่ยุติธรรม “จริงๆ” หรอกนะฮะ) การเอาแต่บอกว่ามันไม่แฟร์มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของคุณดีขึ้นเสียเท่าไรเช่น เดียวกับการงานของคุณ แทนที่คุณจะเสียเวลาไปกับการพูดว่ามันไม่แฟร์หรือหมกมุ่นตัวเองแบบนั้น คงจะดีเสียกว่าถ้าคุณทำงานให้หนักขึ้นและหาวิธีสร้างโอกาสให้ตัวคุณเอง

7. เราทำแบบนี้กันมาเสมอ

การทำงานประเภท “ทำต่อๆ กันมา” หรือ “เขาว่ากันมาอย่างนั้น” เป็นวิธีการที่ทำให้ธุรกิจไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน แถมอาจจะถึงขึ้นวิกฤตเอาได้ง่ายๆ สิ่งที่จำเป็นคือการเรียนรู้สถานการณ์รอบข้าง ปรับตัว และหาวิธีที่จะอยู่รอดให้ได้คือรู้ที่จะปรับตัวอยู่เสมอ ฉะนั้นอย่าให้ความคิดของคุณจมอยู่กับวิธีเดิมๆ โดยไม่ยอมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เลยครับ


เขียนโดย ก้อ ที่ 06:25 1 ความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

30 สิ่งที่คุณควรเลิกทำกับตัวเองเสียที

30 สิ่งที่คุณควรเลิกทำกับตัวเองเสียที

ที่มา **ลิ้ง

ลิ้ง..    ฃ

ขอบคุณ มากมายครับ

http://taghr.net/wp-content/uploads/2015/11/210.jpg 

นี้ผมก็เลยของเอาอีกบล็อกหนึ่งซึ่งผมชอบมากมาต่อยอดไปเลยแล้วกัน นั่นคือ 30 สิ่งที่คุณควรเลิกทำกับตัวเอง โดย Marc and Angel ที่ผมว่าเนื้อหามันน่าอ่านมากพอๆ กัน (หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ) เลยขอหยิบเอามาเล่าและเสริมในบางส่วนให้เห็นภาพมากขึ้น

ลองมาดูกันครับว่าคุณทำสิ่งเหล่านี้อยู่หรือเปล่า? ถ้าใช่ หยุดทำมันเถอะครับ ^^

1. หยุดใช้เวลากับคนแย่ๆ

คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เรารู้จักสุภาษิตนี้กันมาแต่ไหนแต่ไร เรารู้ดีว่าคนดีๆ มักจะสอนและทำให้เราได้ใช้ชีวิตดีๆ เป็นพื้นฐาน ฉะนั้นแล้ว คุณควรรีบใช้ชีวิตอยู่กับคนดีๆ แทนที่จะไปอยู่ในสังคมของคนแย่ๆ ที่ทำให้ชีวิตของคุณไม่ไปไหน ยิ่งในเรื่องความรัก เขาว่ากันว่าถ้าคนนั้นเขาต้องการคุณจริง เขาจะมีที่ให้คุณโดยที่คุณไม่ต้องพยายามหรือต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่เห็นค่าของคุณ ยังมีคนอีกเยอะที่ให้ความสำคัญกับตัวคุณ จำไว้ว่าคนที่อยู่เคียงข้างคุณเวลาที่คุณเวลาที่แย่และชี้ทางให้คุณได้ดีคือ คนที่เป็นเพื่อนแท้ และคือคนที่คุณควรให้ความสำคัญต่างหาก

2. หยุดวิ่งหนีปัญหาของตัวเอง

การเอาแต่หนีปัญหาไม่ใช่ทางแก้ปัญหาแต่อย่างใด หากแต่เป็นแค่การยืดเวลาทรมานกับปัญหาออกไปเท่านั้น การที่คุณจะก้าวหน้าและไปสู่ชีวิตที่ดีได้ ก็คือการที่คุณก้าวข้ามอดีต ต่อสู้และเอาชนะกับปัญหาให้ได้ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ปัญหาบางอย่าง บางปัญหาต้องใช้เวลา แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะปฏิเสธหรือมองข้ามมัน การเผชิญหน้ากับปัญหาอาจจะทำให้เราต้องทุกข์ ต้องเจ็บปวด ต้องร้องไห้ แต่นั่นก็คือบทเรียนของชีวิตที่เราต้องเผชิญหน้าและเติบโตขึ้น และมันคือสิ่งสำคัญของหล่อหลอมชีวิตเราให้อยู่กับความเปลี่ยนแปลงได้

3. หยุดโกหกตัวเอง

การโกหกตัวเองมีแต่ทำให้คุณไม่อยู่กับความเป็นจริง และเอาจริงๆ แล้วตัวคุณเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าความจริงคืออะไรเพียงแต่ไม่ยอมรับมัน ยิ่งคุณโกหกตัวคุณเองก็มีแต่ทำให้คุณไม่สามารถอยู่กับชีวิตจริงได้ การเผชิญหน้ากับความจริงเป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่นั่นก็คือขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราก้าวต่อไป

4. หยุดผลัดวันประกันพรุ่ง

ชีวิตคุณมีอะไรหลายๆ อย่างที่คุณควรได้ทำ อย่าเอาเวลาที่คุณมีไปทำอย่างอื่นจนลืมทำอะไรให้ตัวเอง การช่วยคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีแต่จะดีมากถ้าคุณไม่ลืมเป้าหมายของัวเองและเติม เต็มให้กับสิ่งที่อยากทำด้วย

5. หยุดพยายามเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณเอง

หลายๆ ทีเราอยากเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เสมอไป ตัวตนบางอย่างไม่ได้เป็นสิ่งที่เราเกิดมาเพื่อเป็น และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องเป็น ในทางกลับกัน การที่คุณพยายามเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณจะเป็นเพียงการเสียเวลา ฝืนตัวเอง และเสียโอกาสที่จะพัฒนาส่วนเด่นของคุณเองอีกต่างหาก นอกจากนี้แล้ว การพยายามเป็นที่รักของทุกคน พยายามเอาใจทุกคนด้วยการเปลี่ยนตัวเองนั้นเป็นความคิดผิดๆ ที่จะทรมานตัวคุณเองเปล่าๆ เป็นตัวของคุณเองและให้คนอื่นภูมิใจหรือยอมรับในตัวตนที่แท้ของคุณดีกว่า

6. หยุดยึดติดกับอดีต

อดีตมีไว้ให้เรียนรู้ แต่ไม่ใช่ให้จมอยู่กับมัน ชีวิตคุณจะไม่มีวันไปไหนถ้ายังยึดติดกับเรื่องเดิมๆ คิดว่าชีวิตมันต้องเป็นแบบเมื่อวาน ความสำเร็จมันต้องเป็นแบบครั้งก่อน คุณกำลังอยู่กับ “วันนี้” และใช้ชีวิตเพื่อไปสู่ “พรุ่งนี้” ไม่ใช่การกลับไปใช้ชีวิตใน “เมื่อวาน”

7. หยุดกลัวที่จะทำผิด

ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากให้เกิดกัน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องราวสำคัญที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ เพราะมันทำให้เขารู้ว่าอะไรดีและไม่ดี การอนุญาตให้ตัวเองได้พบกับความผิดพลาด (บ้าง) คือการเปิดใจให้กล้าลอง ได้ทดสอบหลายๆ อย่าง การลองแล้วผิดพลาดมันก็ยังดีเสียกว่าคุณไม่ได้ลองทำอะไรเลย คุณที่ประสบความสำเร็จก็ล้วนพบกับความผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น ถ้าคุณอยากจะไปให้ไกลขึ้น คุณก็ต้องกล้าที่จะพบกับความผิดหวังบ้าง แต่ถ้าคุณไม่กล้า คุณก็วนอยู่กับเรื่องเดิมๆ นั่นแหละ

8. หยุดโทษตัวเองกับความผิดก่อนๆ

คนเราผิดพลาดกันได้ แต่ไม่ใช่ว่าความผิดพลาดมันจะเกิดขึ้นตลอดไป ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นในอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน คุณอาจจะเสียใจกับความผิดในอดีตได้ แต่อย่าเอาแต่โทษตัวเองจนไม่ได้ทำอะไรใหม่ จำไว้ว่าความผิดพลาดมันคือการปูโอกาสให้เจอสิ่งที่ใช่ การที่เราเคยคบกับคนที่ไม่ใช่ ก็เพื่อให้วันหนึ่งเราได้เจอคนที่ใช่ ความผิดพลาดในอดีตก็ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ถูกคืออะไร

9. หยุดคิดที่จะเอาแต่ซื้อความสุข

ความสุขไม่ได้มาจากการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จริงอยู่ว่าคุณอาจจะมีของอยากได้ที่ราคาแพง แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่างของความสุข อันที่จริงแล้วยังมีความสุขอีกมากมายที่คุณได้มาฟรีๆ อย่างเช่นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

10. หยุดคาดหวังความสุขจากคนอื่น

ประโยคประเภท “ชั้นมีความสุข เมื่อเธอมีความสุข” อาจจะฟังดูสุดโรแมนติค แต่ถ้าตัวคุณเองยังไม่มีความสุขกับตัวเองแล้ว คุณจะไปมีความสุขกับคนอื่นได้ยังไง ฉะนั้นแล้ว ความสุขเริ่มต้นจากตัวคุณเองก่อน ความคิดประเภท “ชั้นจะมีความสุขก็ต่อเมื่อมีเธอ” มันทำให้คุณต้องไปพึ่งหวังกับคนอื่นและต้องทุกข์ถ้าไม่มีอีกฝั่งทั้งที่จริง คุณเองก็สามารถสุขได้ด้วยตัวเองแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉะนั้น สร้างตัวเองให้มั่นคงก่อน แล้วคุณแชร์ความสุขนั้นกับผู้อื่นดีกว่าครับ

11. หยุดไม่ทำอะไรสักที

หลายคนเป็นประเภทกลัวจะสร้างปัญหา เลยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่นั่นก็ทำให้คุณไม่ได้ไปไหนด้วยเช่นกัน ชีวิตคุณเกิดมาพร้อมกับเวลาและโอกาสมากมาย ใช้เสียให้คุ้ม ดูสถานการณ์รอบตัวคุณแล้วคิดเสียว่าคุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อจะพาชีวิตก้าวไป ข้างหน้า แล้วก็เริ่มลงมือทำได้แล้ว

12. หยุดคิดว่าคุณไม่พร้อม

ไม่มีใครพร้อม 100% ตอนที่ได้รับโอกาส เพราะเอาเข้าจริงๆ การนิยามว่า “พร้อม” นั้นมันไม่มีคำนิยามที่เป๊ะๆ หรอก แถมเอาเข้าจริงๆ มันเป็นสิ่งที่คุณคิดไปเองทั้งนั้น โอกาสดีๆ ในชีวิตมันมาพร้อมกับการทำให้คุณก้าวไปสู่สิ่งที่คุณยังไม่เคยได้ทำ สิ่งที่คุณยังไม่มีประสบการณ์ ฉะนั้นมันไม่มีทางที่คุณจะพร้อมอยู่แล้ว มันอยู่แต่ว่าคุณจะยอมทำมันไหมต่างหาก

13. หยุดไปมีความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลผิดๆ

การมีความสัมพันธ์ใดๆ นั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดและพิจารณากันดีๆ ชีวิคคู่ในหลายๆ ครั้งไม่ได้นำไปสู่เรื่องดีๆ แถมยังทำให้ชีวิตย่ำแย่เสียอีกต่างหาก ผมมักพูดเสมอบ่อยๆ ว่าถ้ามีคู่แล้วไม่ดี ก็อยู่เป็นโสดเสียดีกว่า อย่าไปคิแบบนิยายว่ารักคือสิ่งสวยงามที่จะทำให้ชีวิตของคุณมีแต่สีชมพู เราเห็นกันมาเยอะแล้วว่าเวลารักขมมันทำให้ชีวิตแต่ละคนย่ำแย่แค่ไหน ถ้าจะมีความรักอะไรนั้น ให้มีวันที่คุณพร้อมจะมี ไม่ใช่มีเพราะคุณแค่อยากจะหายเหงา

14. หยุดคิดว่าจะเป็นโสดแค่เพราะรักครั้งที่แล้วมันแย่

การมีความรักที่ผิดพลาดมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่มันไม่ใช่ว่ารักครั้งใหม่มันจะต้องแย่เหมือนรักครั้งก่อน คุณที่คุณเจออยู่อาจจะเป็นคนที่ “ใช่” และทำให้ชีวิตของคุณดีก็เป็นไปได้ ฉะนั้นแล้วเปิดโอกาสให้ตัวเองบ้าง ไม่ใช่ปิดประตูเพราะเอาแต่คิดว่า “ผู้ชายทุกคนมันเลว” หรือ “ผู้หญิงทุกคนนั้นแย่” (ไอ้ที่แย่น่ะมันแค่คนบางคนที่คุณเจอ หรือบางทีอาจจะเป็นที่ตัวคุณเองต่างหากเล่า)

15. หยุดแข่งกับคนอื่น

การเทียบกับคนอื่นมีแต่จะทำให้คุณรู้สึกอคติกับตัวเองเพราะต้องมานั่ง กังวลว่าคนอื่นเขาจะดีกว่าคุณเมื่อไร เขาจะนำคุณเมื่อไร มันกลายเป็นเป้าหมายชีวิตของคุณไปผูกอยู่กับคนอื่นแทนที่คุณจะมานั่งสนใจกับ ตัวคุณเอง ฉะนั้นแล้ว ตั้งเป้าหมายในการแข่งกับตัวคุณเอง เอาชนะตัวเองในวันก่อนๆ ให้ได้คือสิ่งที่คุณควรจะคิดมากกว่านะครับ

16. หยุดอิจฉาคนอื่น

การอิจฉาเป็นกิเลสที่เผาตัวคุณอย่างไม่มีวันจบ ยิ่งคุณอิจฉาคนอื่นมันก็จะยิ่งทำให้คุณทรมานมากขึ้นเท่านั้น มันทำให้คุณวนเวียนแต่กับการคิดไม่ดีกับคนอื่น คิดแต่จะทำให้คนอื่นแย่กว่าตัวเอง ถ้าคนอื่นดีกว่าคุณ คุณก็โทษตัวเองไปในตัว แล้วมันนำไปสู่อะไรกันล่ะ? หยุดอิจฉาคนอื่นแล้วมาสนใจตัวคุณเองดีกว่า นอกจากไม่ทุกข์แล้ว คุณอาจจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นด้วย

17. หยุดโทษตัวเอง

อย่างที่บอก (อีกแล้ว) ว่าคนเราผิดพลาดกันได้ คุณเองก็ผิดได้ เจ้านายคุณก็ผิดได้ เพื่อนคุณก็ผิดได้ อย่าเอาแต่คิดว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะคุณ สิ่งต่างๆ มันมีปัจจจัยที่มาเกื้อหนุนให้ “เกิดขึ้น” ไม่ใช่แค่เพราะคุณคนเดียว เรียนรู้จากความผิดพลาดและยิ้มให้กับตัวเองแทนที่จะเอาแต่โทษตัวเองไป เรื่อยๆ

18. หยุดอาฆาตแค้น

นอกจากความอิจฉาแล้ว การอาฆาตแค้นเป็นเรื่องที่ชีวิตคุณไม่ควรเอามาถือไว้เลยสักนิด การเกลียดคนอื่นมีแต่จะทำให้ชีวิตคุณแย่และทำร้ายตัวคุณเองมากกว่าที่คนซึ่ง คุณเกลียดทำกับคุณเสียอีก การให้อภัยหรือปล่อยมันไปเป็นเรื่องไม่ง่ายแต่นั่นก็คือสิ่งที่ทำให้คุณหลุด พ้นจากวังวนที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ คุณต้องกล้าที่จะบอกว่า “ฉันจะไม่ให้เธอมาทำลายความสุขของฉันอีก” แล้วก็อย่าไปสนใจมันอีก แค่นั้นแหละครับ

19. หยุดให้คนอื่นมาฉุดให้คนลงไปอยู่กับพวกเขา

หลายๆ ครั้งที่คุณรู้ว่าชีวิตคุณมีดีกว่าที่จะตอบโต้หรือลงไปอยู่ในมาตรฐานเดียว กับคนบางกลุ่ม ฉะนั้นก็อย่าเอาตัวเองลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำลง เหมือนบัว 4 เหล่าที่คุณไม่ควรลงไปยุ่งและทำตัวแบบเดียวกับบัวที่อยู่ต่ำกว่าคุณนั่นแหละ ครับ

20.  หยุดเอาเวลามานั่งอธิบายตัวเองให้คนอื่นฟัง

คนที่เขาเข้าใจและแคร์คุณ (และคนที่คุณควรแคร์) เขาไม่ต้องมานั่งฟังคุณอธิบายว่าคุณเป็นอย่างไร เพราะเขาจะเข้าใจคุณตั้งแต่แรกโดยแทบไม่ต้องพูดอะไรสักนิด ในขณะเดียวกัน คนที่เขาเกลียดคุณหรือเป็นศัตรูคุณเขาก็ไม่มานั่งฟังคุณเช่นกัน (คุณอธิบายไปก็เท่านั้นแหละ)

21. หยุดทำอะไรโดยไม่มีหยุดพัก

จริงอยู่ว่าชีวิตมีเวลาจำกัดที่คุณต้องรีบใช้ให้คุ้ม แต่การคุ้มไม่ใช่แปลว่าคุณไม่ได้พักอะไรเลย การพักบ้างอะไรบ้างมันทำให้คุณได้ถอนหายใจ ได้พิจารณาอะไรหลายๆ อย่างระหว่างพัก ลองหาเวลาที่จะหยุดทำอะไรสักพักแล้วให้เวลากับตัวเองในเรื่องอื่นบ้างก็ไม่ เสียหายหรอกครับ

22. หยุดมองข้ามความสวยงามเล็กๆ น้อย

การหาความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้างมันเป็นเรื่องที่ดีและทำให้คุณเห็นคุณค่าของ “เวลา” และ “ชีวิต” มากกว่าที่คุณคิด คุณอาจจะมีเป้าหมายใหญ่ที่ต้องวิ่งไปข้างหน้าอีกนาน แต่อย่าลืมแวะสนุกกับเรื่องราวริมทางบ้าง มันจะดีมากถ้าคุณสามารถมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกับความสุขใหญ่ๆ ที่ปลายทาง

23. หยุดทำให้ทุกอย่างเพอร์เฟค

โลกความจริงมันไม่เหมือนโลกอุดมคติ ไม่มีอะไรที่จะเสร็จสมบูรณ์ไปได้ คนเราย่อมคิดอะไรที่จะแต่งแต้มและเพิ่มให้ดีขึ้นได้อีกเรื่อยๆ การที่เอาแต่บอกว่ามันต้องสมบูรณ์เท่านั้นมันเป็นการตีกรอบให้หลายๆ ทีคุณไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่างเพราะคุณเอาแต่คิดว่า “มันไม่ดีพอ” สักกะที

24. หยุดเดินตามเส้นทางที่เน้นปลอดภัยอย่างเดียว

ใครๆ ก็อยากรู้สึกปลอดภัยอยู่ใน Comfort Zone แต่นั่นก็ทำให้คุณไม่ได้ไปไหนไกล การจะประสบความสำเร็จหรือได้สิง่ที่คุณคู่ควรนั้น ส่วนหนึ่งคือการลองทำสิ่งใหม่ๆ การทำอะไรที่ยากๆ หรือทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม ฉะนั้นแล้ว อย่าเอาแต่เลือกเส้นทางแบบ “รักสบาย”​ ตลอดไป บางครั้งคุณต้องกล้าจะเลือกทางที่จะยากลำบากบ้าง (แล้วมันอาจจะดีเสียกว่าที่คุณเลือกทางสบายๆ เสียอีก)

25. หยุดทำเป็นเหมือนว่าทุกอย่างไม่เป็นไรทั้งที่จริงมันไม่ใช่

การมองโลกในแง่ดีกับการมองโลกโดยไม่อยู่กับความจริงมันเป็นเรื่องที่ฟัง ดูคล้ายๆ กันแต่ได้ผลคนละเรื่อง คุณไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนที่แข็งแกร่ง ไม่กระเทือน ไม่รู้สึกรู้สาตลอดเวลา บางทีคุณก็ต้องปล่อยให้ตัวเองรู้สึกบ้างอะไรบ้าง เดือดร้อนบ้างตามประสามนุษย์ มันทำให้คุณมีโอกาสได้เป็น​ “คน” อย่างที่คุณเป็นอยู่แหละครับ

26. หยุดพยายามเป็นทุกอย่างเพื่อทุกๆ คน

ความคิดเรื่องของการเป็น “คนของประชาชน” ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาอย่างคุณควรจะทำ (เว้นแต่คุณจะพยายามเป็นนักการเมืองน่ะนะ) คุณต้องไม่ลืมว่าคนรอบข้างคุณไม่ได้คิดเหมือนกันทุกคน ยิ่งคุณรู้จักคนเยอะ เกี่ยวข้องกับคนเยอะ มันก็ยิ่งมีความต้องการมากมาย ความคาดหวังที่หลากหลาย แล้วมันคงไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องปรับตัวเองเพื่อให้ตอบสนองทุกๆ อย่าง เพราะสุดท้ายก็จะมีแต่ทำให้ตัวตนของคุณบิดเบี้ยวเสียอีกต่างหาก

27. หยุดโทษคนอื่นสำหรับปัญหาของคุณ

การไม่รับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง แต่โยนความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นคือนิสัยของคนที่จะไม่มีวันโตเพราะเขาจะ ไม่มีวันเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนประเภทที่กล้า “รับผิด” และ “รับชอบ” กับตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่ “รับชอบ” อย่างเดียว

28. หยุดกังวลเกินไป

การเอาแต่กังวลไปเสียทุกอย่างมีแต่จะทำให้สมองของคุณรวมทั้งความรู้สึก ของคุณไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะนำไปสู่ความสุขเลยแถมยังจะฉุดตัวคุณเองในแต่ละ วันด้วยซ้ำ เรื่องบางเรื่องคุณอาจจะกังวลได้ แต่เรื่องบางเรื่องมันยังไม่ถึงเวลา หรือไม่ใช่เรื่องที่คุณควรจะกังวล ถามตัวเองให้ดีเวลาที่คุณจะกังวลกับอะไรว่าคุณควรจะกังวลกับมันไหม

29. หยุดคิดถึงแต่สิ่งที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น

แทนที่คุณจะเอาสมาธิไปมัวคิดว่าจะเกิดอะไรที่ไม่พึงประสงค์ คุณควรไปนั่งคิดมากกว่าว่าจะทำอะไรให้เกิดสิ่งที่คุณพึงประสงค์ การคิดในแง่บวก (แบบไม่เกินจริง) คือพื้นฐานที่ทำให้คนคิดก้าวไปสู่ความสำเร็จ ฉะนั้นแล้ว เอาพลังและเวลาที่คุณมีไปคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่คุณอยากทำให้เกิดขึ้นดีกว่าครับ

30. หยุดเฉยชากับโลก

ไม่ว่าโลกมันจะแย่หรือจะดี มันคงจะดีกว่าที่คุณจะรู้สึกดีที่มีชีวิตอยู่และมีวันนี้ (รวมทั้งพรุ่งนี้) มีคนมากมายที่ชีวิตแย่กว่าคุณ (เชื่อเหอะว่ามีจริงๆ) รู้จักยินดีกับสิ่งที่คุณมี พอใจกับความสุขที่คุณได้ในแต่ละวันมันทำให้คุณอยากมีชีวิตต่อไปแทนที่จะมา นั่งคิดว่าคุณพลาดอะไรไปบ้าง หรือขาดอะไรไป

 

เขียนโดย ก้อ ที่ 06:19 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

คู่มือบำรุงรักษา การตรวจเช็คระยะปรับลูกปืน (END PLAY CHECKING)

 เอามาจาก http://www.tbelco.com 
 ขอบคุณมากมายครับ ...

คู่มือบำรุงรักษา
การตรวจเช็คระยะปรับลูกปืน (END PLAY CHECKING)

 

ระยะการบำรุงรักษาเพลาล้อแม็กนั่ม

ค่าแรงขันสกรูต่าง ๆ

การปรับลูกปืนล้อ

มาตรฐานจารบี MAGNUM ตะกูล "แซดเอ็ม"

คุณสมบัติจาระบีฮีโน่ เอ็มพี-3
เขียนโดย ก้อ ที่ 11:16 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

10 ผักสวนครัวกินแล้วงอก ปลูกเป็นต้นใหม่ได้ง่าย ๆ


10 ผักสวนครัวกินแล้วงอก ปลูกเป็นต้นใหม่ได้ง่าย ๆ

 

เอามาจาก http://home.kapook.com/view100416.html .. ขอบคุณมากมายครับ


10 ผักสวนครัวกินแล้วงอก ปลูกเป็นต้นใหม่ได้ง่าย ๆ
10 ผักสวนครัวกินแล้วงอก ปลูกเป็นต้นใหม่ได้ง่าย ๆ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ผักสวนครัวสุดเจ๋ง ที่สามารถนำบางส่วนมาปลูกใหม่ได้ เรามาปลูกผักสวนครัวกินเองที่บ้าน แบบปลอดสารพิษกันเถอะ
         
เชื่อ ว่าหลายคนเคยลองนำรากหรือหน่อของผักสวนครัวไปปักดิน เพื่อหวังให้ผักชนิดนั้น ๆ เติบโตขึ้นมาเป็นผักสวนครัวภายในบ้านให้เรามีกินตลอดไป ซึ่งก็ไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายบางส่วนไปเท่านั้น แต่การมีแปลงผักสวนครัวในบ้านก็ยังเพิ่มกิจกรรมดี ๆ ให้ครอบครัวได้มีเวลาร่วมกันมากขึ้น ที่สำคัญทุกคนในบ้านยังได้กินผักปลอดสารพิษร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน แถมไม่ต้องเสียเวลาไปหาซื้อผักจากตลาดกันด้วย เอาล่ะ ! เกริ่นมาซะขนาดนี้ก็อยากแนะนำ 10 ผักสวนครัวที่กินแล้วสามารถนำไปปลูกต่อได้ใหม่ จะได้ลองปลูกผักสวนครัวภายในบ้านไว้กินกันนาน ๆ เนอะ
1. กระเทียม

          กระเทียมที่ถูกทิ้งไว้นาน ๆ มักจะงอกหน่อสีเขียวออกมาให้เห็น และคนส่วนมากก็มักจะคิดว่ากระเทียมเสียก็เลยนำไปโยนทิ้งซะอย่างนั้น ทั้งที่จริงแล้วหากเรานำกระเทียมไปแช่น้ำต่ออีกสักพัก รอให้หน่อสีเขียวงอกยาวพอประมาณ เราจะสามารถตัดเอาหน่อสีเขียว ๆ มากินได้ โดยรสชาติจะออกขมน้อยกว่ากระเทียม หรือจะตัดเอาไปผัดน้ำมันเหมือนผัดต้นหอมก็ได้นะคะ

2. หัวแครอท


          หัวแครอทที่ถูกเฉือนทิ้งสามารถนำมาแช่น้ำแล้วนำไปวางข้างหน้าต่างที่มีแดด ส่อง รอสักระยะจะมีต้นเขียว ๆ ลักษณะคล้ายผักชีงอกออกมา ซึ่งสามารถนำไปตกแต่งจานแทนผักชีได้เลยล่ะ

3. โหระพา

          หลังจากเด็ดใบโหระพาไปกินหมดแล้ว ให้นำก้านไปปักลงในกระบะทราย โดยผสมแกลบชื้น ๆ เข้าไปด้วย จากนั้นก็รดน้ำและดูแลต่อประมาณ 7 วัน รากของโหระพาจะงอกออกมา ทีนี้ก็ค่อยย้ายโหระพาไปปลูกลงแปลงในสวนที่บ้าน ส่วนการดูแลโหระพาก็รดน้ำพอชุ่มทุกวัน แต่อย่าให้น้ำขังก็พอ

4. กะเพรา

          กะเพราก็ปลูกง่ายไม่ต่างจากโหระพาเลยค่ะ เพียงแค่นำก้านที่ริดใบออกไปหมดแล้วไปปักลงในกระถางดินร่วน หรือจะลงแปลงปลูกลงในดินโดยตรงเลยก็ได้ หลังจากนั้นก็รดน้ำเช้าเย็นพอให้ชุ่ม ก็รอเวลาที่กะเพราจะงอกออกมาใหม่ได้เลยจ้า

5. ผักกาดหอม

          ก้านผักกาดหอมที่เหลืออยู่นิด ๆ ลองนำไปแช่น้ำให้ระดับน้ำสูงท่วมรากผักกาดประมาณ ½ นิ้ว จากนั้นนำโหลแช่ผักกาดหอมไปวางข้างหน้าต่างที่แดดส่องถึงประมาณ 2 อาทิตย์ ผักกาดหอมจะค่อย ๆ งอกออกมา แต่ถ้านานกว่านั้นประมาณ 3-4 อาทิตย์ ผักกาดหอมจะโตเต็มที่เหมือนซื้อมาใหม่เลย

10 ผักสวนครัวกินแล้วงอก ปลูกเป็นต้นใหม่ได้ง่าย ๆ
 

6. หอมหัวใหญ่

          ตัดเอาเฉพาะรากหัวหอมไปปักลงในกระถางดินร่วน รดน้ำเช้า-เย็นและรอประมาณ 2-3 สัปดาห์พอให้รากแข็งแรง คราวนี้ก็จัดการลงแปลงปลูกได้เลยจ้า

7. ต้นหอม

          ต้นหอมก็ใช้วิธีการแช่รากกับน้ำประมาณ 5 วัน พอให้รากขยายสาขาออกมาเยอะ ๆ พร้อมทั้งส่วนใบของต้นหอมก็จะงอกออกมาให้เราได้ตัดไปกินต่อ เห็นไหมล่ะว่าปลูกใหม่ง่ายนิดเดียวจริง ๆ

8. ขิง

          การปลูกขิงไม่ต่างจากหอมหัวใหญ่เลยสักนิดค่ะ แต่อาจจะต้องใช้เวลาปลูกนานประมาณ 2-3 เดือนถึงจะรากแน่นพอที่เจริญเติบโตต่อไปได้ แต่ถ้าจะให้เป็นแง่งจริงจังต้องรอนานประมาณ 10 เดือนขึ้นไปเลยทีเดียว

9. เห็ด
          ใครว่าเพาะเห็ดต้องใช้กรรมวิธีการซับซ้อน เพราะเพียงแค่ผสมดินกับกากกาแฟบดเข้าไปในปริมาณเท่า ๆ กัน จากนั้นก็นำเห็ดลงไปจิ้ม รดน้ำให้ชุ่มและปลูกในที่ชื้น รอประมาณ ​2-3 วันเห็ดก็จะงอกขึ้นมาใหม่ได้ง่าย ๆ

10. ผักชี

          หากไม่ได้นำรากผักชีไปโขลกเป็นส่วนผสมในอาหารก็นำมาแช่น้ำพอให้รากงอกขึ้นมา ยาวพอจะไปปักลงในกระถางได้ จากนั้นรดน้ำต่อไปอีก 2-3 สัปดาห์ เราก็จะมีต้นผักชีเอาไว้รับประทานแบบสดใหม่สุด ๆ


          ผัก สวนครัวที่กินกันเป็นประจำเหล่านี้ถ้าได้ปลูกเองที่บ้านก็คงมีกินมีใช้กัน เพลิน ๆ แบบไม่ต้องเสียเงินซื้อสักบาท ที่สำคัญลดความเสี่ยงจากสารเคมีสารพัดชนิดไปในตัวด้วยเนอะ
เขียนโดย ก้อ ที่ 08:08 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ



วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ

เอามาจาก http://khaosandee.blogspot.com/2015/06/blog-post_18.html



วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ
นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ มหรรณพ สัตวแพทย์ช่วยราชการสำนักพระราชวัง ให้ความกระจ่างในเรื่องราวของจิ้งจกไว้อย่างน่าสนใจว่า “ที่ไหนมีจิ้งจกชุกชุมหรือมีตุ๊กแกหลายตัว แสดงว่าสภาพแวดล้อมที่นั้นอยู่ในขั้นสะอาดปลอดภัยไร้มลภาวะเป็นพิษ ปัจจัยนี้จึงทำให้จิ้งจกและตุ๊กแกพากันออกหาอาหารประเภทแมลงกันเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อมีแมลงมาก ก็แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ตรงนั้นปลอดมลพิษอากาศบริสุทธิ์ และเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลสารเคมี หรือยาฆ่าแมลงชนิดต่างๆ”

หมออลงกรณ์ กล่าวด้วยว่า สัตว์เลื้อยคลานอย่างจิ้งจก ตุ๊กแก ถือเป็นสัตว์ที่มีวงจรชีวิตที่น่าสนใจ เป็นตัวกำจัดแมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมลงมีปีก เพื่อไม่ให้มีแมลงมากมายจนเกินไปนอกจากจิ้งจกแล้ว ก็ยังมีสัตว์เลื้อยคลานอย่างจิ้งเหลน กิ้งก่า ที่เป็นสัตว์นักล่าแมลงตามพื้นอีกด้วย สัตว์ประเภทนี้ถือเป็นตัวแปรในการควบคุมปริมาณของแมลงชั้นดี ที่คนไม่ควรไปทำร้ายหรือฆ่าทิ้ง เพราะนอกจากเป็นการไม่สมควรแล้ว ยังเป็นการตัดวงจรชีวิตของสัตว์เลื้อยคลานประเภทนี้อีกด้วย ดังนั้นหากรำคาญจิ้งจกหรือตุ๊กแกจริงๆ เนื่องจากชอบพากันออกมาก่อกวน ทำให้บ้านสกปรกแนะนำให้ใช้วิธีดังนี้

เกร็ดน่ารู้ วิธีไล่จิ้งจกแบบง่าย ๆ
1. ใช้ผ้าชุบน้ำมัน ก๊าดผสมน้ำ แล้วนำไปวางตามมุมอับ หรือจุดที่มีสัตว์เหล่านี้อยู่ชุกชม กลิ่นเหม็นของน้ำมันก๊าด จะเป็นตัวไล่ให้จิ้งจกตุ๊กแกไม่กล้าเข้าใกล้
2. ใช้การบูร ลูกเหม็น นำไปวางไว้ตามมุมอับก็ใช้ได้เช่นกัน
3. ใช้น้ำหรือปืนฉีดน้ำฉีดไปที่เท้าของจิ้งจก ตุ๊กแก น้ำจะเข้าไปแทนที่สูญญากาศใต้พังผืดบริเวณเท้า ทำให้มันหล่นลงมา วิธีนี้ก็สามารถไล่ได้อีกวิธีหนึ่ง
วิธีไล่จิ้งจกโดยการใช้สมุนไพร : ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลแน่นอน ไม่ต้องฆ่าและไม่ต้องใช้สารเคมีอีกด้วย มีวัตถุดิบและวิธีการทำดังนี้
สูตรไล่จิ้งจก : ใบสาบเสือ 1 ส่วน, ใบน้อยหน่า 1 ส่วน
วิธีทำ : นำใบสาบเสือและใบน้อยหน่าอย่างละเท่าๆ กัน ให้นำใบสาบเสือและใบน้อยหน่าที่ได้มาตำหรือสับเป็นชิ้นๆ ผสมให้เข้ากัน เพื่อให้ได้กลิ่นสาบจากวัตถุดิบดังกล่าวออกมาจากนั้นนำใบสาบเสือและใบ น้อยหน่าที่ตำผสมเข้ากัน แล้วมาห่อผ้าด้วยผ้าที่มีอากาศระบายเพื่อให้กลิ่นเหม็นสาบออกมา และสะดวกในการนำไปใช้ นำไปวางหรือแขวนไว้ในบริเวณที่มีจิ้งจกและตุ๊กแกอาศัยอยู่ จิ้งจกและตุ๊กแกก็จะไม่มาอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นอีก
เป็นไงคะวิธีการไล่จิ้งจกให้ไม่มารบกวนเรา ง่ายมากเลยใช่มั้ยคะ ถ้าบ้านเพื่อนๆ มีปัญหาเกี่ยวกับจิ้งจกมากวนใจอยู่ล่ะก็ ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้กับบ้านเพื่อนๆ ดูนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก 

เขียนโดย ก้อ ที่ 07:23 ไม่มีความคิดเห็น:
ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
บทความที่ใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)

เกี่ยวกับฉัน

ก้อ
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน

คลังบทความของบล็อก

  • ►  2017 (2)
    • ►  พฤษภาคม (1)
    • ►  เมษายน (1)
  • ▼  2015 (12)
    • ▼  พฤศจิกายน (2)
      • 7 ประโยคที่คนประสบความสำเร็จเขาไม่พูดกัน
      • 30 สิ่งที่คุณควรเลิกทำกับตัวเองเสียที
    • ►  ตุลาคม (3)
      • คู่มือบำรุงรักษา การตรวจเช็คระยะปรับลูกปืน (END PL...
      • 10 ผักสวนครัวกินแล้วงอก ปลูกเป็นต้นใหม่ได้ง่าย ๆ
      • วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ
    • ►  พฤษภาคม (5)
    • ►  มกราคม (2)
  • ►  2014 (38)
    • ►  ธันวาคม (8)
    • ►  พฤศจิกายน (18)
    • ►  ตุลาคม (4)
    • ►  กันยายน (1)
    • ►  เมษายน (1)
    • ►  มีนาคม (3)
    • ►  กุมภาพันธ์ (2)
    • ►  มกราคม (1)
  • ►  2013 (23)
    • ►  พฤศจิกายน (1)
    • ►  กันยายน (1)
    • ►  สิงหาคม (3)
    • ►  กรกฎาคม (1)
    • ►  มิถุนายน (6)
    • ►  พฤษภาคม (2)
    • ►  เมษายน (1)
    • ►  มีนาคม (1)
    • ►  กุมภาพันธ์ (6)
    • ►  มกราคม (1)
  • ►  2012 (88)
    • ►  ธันวาคม (2)
    • ►  ตุลาคม (2)
    • ►  กันยายน (23)
    • ►  สิงหาคม (7)
    • ►  กรกฎาคม (3)
    • ►  มิถุนายน (3)
    • ►  พฤษภาคม (5)
    • ►  เมษายน (6)
    • ►  มีนาคม (20)
    • ►  กุมภาพันธ์ (17)
  • ►  2011 (20)
    • ►  กันยายน (3)
    • ►  สิงหาคม (3)
    • ►  กรกฎาคม (2)
    • ►  มิถุนายน (11)
    • ►  พฤษภาคม (1)

ผู้ติดตาม

การเดินทาง ธีม. รูปภาพธีมโดย tjasam. ขับเคลื่อนโดย Blogger.