วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การวางแผนระบบรดน้ำ สปริงเกอร์

การวางแผนระบบรดน้ำ สปริงเกอร์

ที่มา ขอบคุณครับ http://www.hikarithai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=426249 

การวางแผนระบบรดน้ำ สปริงเกอร์
การวางแผนที่ดี ทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง คำนี้ยังใช้ได้ผลเสมอ การวางแผนก่อนการเดินท่อ หรือซื้อ หัวสปริงเกอร์ จะทำให้ประหยัดตันทุนในการใช้จ่าย ไม่เปลืองน้ำ เปลืองไฟ เปลืองเงินเรา การไม่วางแผนการทำงาน อาจทำให้เราเสียตั้งค์ ซ้ำซ้อน เช่น เลือกปั๊มไม่เหมาะกับ สปริงเกอร์ อาจจะเล็กไปทำให้น้ำที่จ่ายออกมาไม่ได้ รัศมีที่ต้องการก็ต้องเสียเงินซื้อปั๊มมาเปลี่ยนใหม่อีก  หรือการเดินท่อน้ำเล็กไปเพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย อาจทำให้เราไม่สามารถเลือกห้วที่มีรัศมีไกลได้ จึงต้องเดินท่อหลายโซน เพราะหัวฉีดเราเล็ก เพราะฉนั้นการวางแผนเลือกอุปกรณ์ ต้องมาก่อน เราจะเริ่มวางแผนการทำระบบสปริงเกอร์ภายในบ้านกันเลย ไปหยิบกระดาษมาวาดแบบบ้านและสวนได้เลยครับ
  1.  การแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ เพื่อเลือกหัวสปริงเกอร์ 
    • เริ่มแรกคุณต้องแบ่งพื้นที่สนามออกเป็นส่วนๆก่อน เพื่อให้ง่าต่อการจัดการ
    •  
    • จากนั้นก็เลือกหัวสปริงเกอร์ ที่มีระยะฉีดเหมาะสมกับพื้นที่ของคุณ เท่าใดจึงจะเหมาะสมที่สุด(ถ้าสนามเล็กถึงปานกลาง เราจะเลือกหัวสปริงเกอร์ที่มีรัศมีเท่ากับความกว้างของสนาม จะทำให้ง่ายต่อการติดตั้ง และทำให้การจัดวางท่อเป็นไปอย่างง่ายดาย สะดวกในการติดตั้งและซ่อมบำรุงในภายหลัง เนื่องจากไม่มี หัวสปริงเกอร์ และท่ออยู่กลางสนามนั่นเอง)
    • สำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ อาจจำเป็นต้องติดตั้งสปริงเกอร์ อยู่กลางสนาม แต่อาจใช้วิธีซ่อน หัวสปริงเกอร์ โดยการใช้ สปริงเกลอร์ แบบป๊อปอัพการเลือก สปริงเกอร์ ให้เหมาะสม
  2. การเลือกขนาดท่อ มีส่วนสำคัญกับ รัศมีของ สปริงเกอร์ และปริมาณน้ำที่ออกมา
    • ท่อที่มีขนาดเล็ก จะทำให้เราต้องเลือกหัวสปริงเกอร์ที่มีรัศมีไม่ไกลมากนัก เนืองจากปริมาณน้ำทีผ่านท่อมาได้มีไม่เพียงพอที่จะทำให้เหวียงได้ไกลๆ ผลที่ตามมาอีกอย่างก็คือเราต้องมีจำนวนโซนมากขึ้น เพราะ สปริงเกอร์เราเหวียงน้ำไม่ไกล
    • ท่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จะทำให้เราสามารถเลือก สปริงเกอร์ ที่มีรัศมีไกลได้ ทำให้ไม่ต้องใช้โซนในการรดน้ำมาก
  3. การเลือกหัวสปริงเกอร์ให้เหมาะสม กับการใช้งาน
    • พื้นที่สนามหญ้าโล่ง ใช้ สปริงเกอร์ แบบป๊อปอัพ จะทำให้สนามหญ้าดูดีที่สุด เนื่องจากเมื่อเวลาไม่ได้ทำงานจะหุบลงราบกับพื้น เมื่อจะทำการรดน้ำ หัวสปริงเกอร์ ก็จะโผล่ขึ้นมาจากดิน เราจึงเรียกหัวแบบนี้ว่าหัวแบบป๊อปอัพ 
    • สำหรับพุ่มไม้ ควรจะมีก้านต่อและสามารถใช้เฉพาะหัวฉีด หรือ สปริงเกอร์ ชนิดติดเพื่อรดแนวพุ่มไม้ได้

พื้นที่ที่ใช้สปริงเกอร์ขนาดใหญ่
สามารถครอบคุมพื้นที่ได้ถึง ขนาดเส้นผานศูนย์กลาง 44 เมตร
    • สปริงเกอร์เนลสัน แบบเกียร์ไดร์ฟป๊อปอัพ และแบบอิมแพค สำหรับสนามหญ้า
    • สปริงเกอร์เนลสัน แบบเกียร์ไดร์ฟหัวโผล่พ้นพื้นสำหรับพุ่มไม้เตี้ย
  • เกียร์ไดร์ฟ  Gear Drive เป็นสปริงเกอร์แบบหมุนเงียบและสามารถรถน้ำเป็นวง(เต็มวง หรือเป็นเสี้ยวได้)และใช้แรงขับเคลื่อนของน้ำเป็นตัวทำให้เกิดแรงหมุนของ สปริงเกอร์
พื้นที่ที่ใช้สปริงเกอร์ขนาดเล็ก
สามารถครอบคุมพื้นที่ได้ถึง ขนาดเส้นผานศูนย์กลาง 10 เมตร
    • หัวสเปรย์เนลสัน แบบป๊อปอัพ
    • หัวสเปรย์เนลสัน  แบบหัวโผล่พ้นพื้นสำหรับพุ่มไม้เตี้ย
  • หัวสเปรย์ Spray Head เป็นสปริงเกอร์แบบไม่หมุน ทำให้สปริงเกอร์แบบนี้รดน้ำได้ไม่ไกลเท่ากับสปริงเกอร์แบบเกียร์ไดร์ฟ หรืออิมแพค หัวสปริงเกอร์จะเป็นตัวกำหนดลักษณะน้ำที่ออกเป็นวง(เต็มวง, ครึ่งวงกลม หรือ 1/4 วง) หรือเป็นเส้น (แบบรดน้ำซ้าย-ขวา และแบบรดน้ำข้างหน้า)
***ภายในโซนเดียวกันควรใช้ สปริงเกอร์ ขนาดและแบบเดียกัน
    การ เลือกสปริงเกลอร์ ควรเลือกระยะฉีดให้เท่ากับความกว้างของพื้นที่แต่ละส่วน จากตัวอย่างพื้นที่ตามรูปจะเห็นได้ว่าพื้นที่แบ่งได้เป็น 5 ส่วนโดยความกว้างของทั้ง 5 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1= 3.6 เมตร,ส่วนที่ 2 = 7.2 เมตร,ส่วนที่ 3 = 3.6 เมตร,ส่วนที่ 4=2.4 เมตร,ส่วนที่ 5 = 9.6 เมตร ตามลำดับ หากเลือกหัวสปริงเกลอร์โดยดูจากตารางของหัวแต่ละรุ่นจะพบว่า
    - พื้นที่ส่วนที่ 1 สามารถใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น 6304 และหัวฉีด 7370 ที่สามารถฉีดได้ 3.7 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์
    - พื้นที่ส่วนที่ 2 สามารถใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น PRO 5500/X2-550 หัวฉีดเบอร์ 54 ที่สามารถฉีดได้ 7.0 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์
    - พื้นที่ส่วนที่ 3 สามารถใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น 6304 และหัวฉีด 7370 ที่สามารถฉีดได้ 3.7 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์
    - พื้นที่ส่วนที่ 4 สามารถใช้ข้อต่อรดน้ำพุ่มไม้ 6300 และหัวฉีด 7307 ที่สามารถฉีดได้ 3.7 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์ เนื่องจากบริเวณที่ติดตั้งเป็นพุ่มไม้ จึงจำเป็นต้องใช้ก้านต่อ PR ด้วย
    - พื้นที่ส่วนที่ 5 สามารถใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น PRO 6000/X 2-600 หัวฉีดเบอร์ 6 ที่สามารถฉีดได้ 9.8 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์
     พื้นที่เดียวกันจะต้องใช้หัวชนิดเดียวกัน แต่หากต่างพื้นที่กันสามารถใช้หัวต่างชนิดกันได้ อย่างไรก็ตามในพื้นที่ที่ต่างกันหัวที่เลือกแม้จะต่างประเภท  ต่าง รุ่นกันก็ตาม แต่แรงดันที่เลือกของหัวทุกรุ่นควรจะเท่ากันที่ 1.4 บาร์ หรือในกรณีที่เลือกที่แรงดันเท่ากันไม่ได้ควรที่จะเลือกหัวที่แรงดันใกล้ เคียงกันที่สุด เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกปั้มน้ำ
     การกำหนดตำแหน่ง และระยะห่างระหว่างหัวสปริงเกลอร์
     ระยะ ห่างระหว่างแต่ละหัวสปริงเกอร์จะเป็นไปตามขนาดพื้นที่ และระยะรัศมีของสปริงเกลอร์ที่ฉีดในแต่ละพื้นที่ ตามตัวอย่างหัวสปริงเกอร์รุ่น 6304 และหัวฉีด 7370 สามารถฉีดได้ 3.7 เมตรแต่พื้นที่กว้างเพียง 3.6 เมตร เราจึงต้องการฉีดเพียง 3.6 เมตรและสามารถปรับหัวให้ฉีดได้ระยะดังกล่าว ระยะห่างระหว่างสปริงเกลอร์จึงเป็น 3.6 เมตรเช่นกัน การวางระยะห่างขนาดนี้ ทำให้มีการรดน้ำเหลื่อมล้ำกันระหว่างแต่ละสปริงเกลอร์เพื่อให้พืชได้น้ำ อย่างทั่วถึงและเพียงพอด้วย ปริมาณน้ำที่เท่า ๆ กัน
     การ วางตำแหน่งในแบบนั้นควรจะเริ่มวางจากมุมของแต่ละพื้นที่ก่อน โดยใช้หัวที่ฉีดทำมุม 90 องศาจากนั้นจึงวางสปริงเกลอร์ที่ฉีดลักษณะครึ่งวงกลมหรือฉีดทำมุม 180 องศา ตามแนวขอบให้ครบ เว้นระยะห่างระหว่างสปริงเกลอร์แต่ละหัวในรูปแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพื่อให้ สปริงเกลอร์ทั้งบน-ล่าง,ซ้าย-ขวามีระยะห่างเท่ากันที่สุดเท่าที่จะทำได้



     การแบ่งโซนโดยการใช้ Zone Chart
     เมื่อ เราเลือกหัว และวางตำแหน่งสปริงเกลอร์แต่ละหัวได้เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการแบ่งโซน คุณอาจจะไม่สามารถรดน้ำสวนของคุณทั้งสวนพร้อม ๆ กันในครั้งเดียว(เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นเพียงสวนเล็ก ๆ เท่านั้น)โดยส่วนมากแล้ว คุณจะต้องแบ่งส่วนของคุณเป็นโซนและรดน้ำเป็นโซนๆไปโซน1โซนก็คือส่วนที่ท่อ และสปริงเกลอร์ทั้งหมดในโซนนั้นเปิด-ปิดได้ด้วยวาล์วเพียงตัวเดียวเท่านั้น เมื่อทำการแบ่งโซนเรียบร้อยแล้วให้ใส่หมายเลขกำกับโซนที่แบ่งไว้ลงในแบบ

สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการแบ่งโซน
    - การแบ่งโซนนั้นจะต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำในแหล่งน้ำที่คุณมี การใช้น้ำจากแท็งก์น้ำสำหรับใช้ในบ้าน อาจจะทำให้มีน้ำไม่เพียงพอใช้ในขณะที่มีการรดน้ำ ดั้งนั้นการแยกแท็งก์หรือแหล่งน้ำที่จะใช้ในการรดน้ำสนามออกจากส่วนน้ำใช้ ภายในบ้าน จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำที่มีอย่างจำกัด อาจทำให้ต้องแบ่งจำนวนโซนมากขึ้น ปริมาณน้ำที่มีของแหล่งน้ำที่สามารถใช้ในการรดน้ำได้นี้ จะต้องเติมลงในตาราง Zone Chart ตามตัวอย่าง ในที่นี้ขอกำหนดให้มีปริมาณน้ำที่ใช้ได้อยู่ 4ลบ.ม.
    - ห้าม ใช้สปริงเกลอร์หลายประเภทในโซนเดียวกัน ตามที่เราได้ทำการแบ่งพื้นที่เป็นส่วน ๆ และกำหนดสปริงเกลอร์ให้พื้นที่แต่ละส่วนแล้วข้างต้นนั้นหากพื้นที่ใดใช้ สปริงเกลอร์ชนิดเดียวกันเช่นพื้นที่ส่วนที่1, 3และ 4 ก็สามารถรวมเป็นโซนเดียวกันได้ แต่พื้นที่ส่วนที่ 1 ไม่สามารถรวมกับพื้นที่ส่วนที่ 2 เป็นโซนเดียวกันได้
     - แต่ละโซนควรใช้น้ำให้ใกล้เคียงกัน เพราะจะทำให้เลือกปั้มได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามหากแบ่งไม่ลงตัว พยายามจัดให้มีจำนวนโซนที่ใช้น้ำใกล้เคียงกันมากที่สุด ส่วนโซนอื่นที่เหลือให้ใช้น้ำน้อยกว่า เนื่องจากเวลาเลือกปั้มต้องใช้โซนที่ใช้น้ำมากที่สุดเป็นเกณฑ์ในการเลือก ปั้ม
ตามตัวอย่างเราสามารถลงตารางได้ดังนี้

จะเห็นได้ว่าพื้นที่ 1,3และ 4 ซึ่งใช้หัว7370 ซึ่งเป็นหัวชนิดเดียวกัน ปริมารน้ำรวมคือ4.42ลบ.ม./ชม. ในขณะที่พื้นที่ 2 ซึ่งใช้หัว PRO 5500/X2-550 ใช้ปริมาณน้ำรวม 2.16 ลบ.ม./ชม. และพื้นที่ 4 ซึ่งใช้หัว PRO 60000/X2-600 ใช้ ปริมาณรวม1.92 ลบ.ม./ชม. เนื่องจากตามตัวอย่างเรามีน้ำที่สามารถใช้ได้อยู่ 4 ลบ.ม. นั่นหมายถึงว่าหากเราแบ่งเป็น 4 โซน โซนละประมาณ 2 ลบ.ม./ชม. และเราใช้เวลารดน้ำแต่ละโซนประมาณ 30 นาที ก็จะใช้น้ำประมาร 4 ลบ.ม.พอดี อย่างไรก็ตามที่รดน้ำ เราก็สามารถรดน้ำเติมน้ำในแท็งก์ไปด้วยได้ ดั้งนั้นการกำหนดให้แต่ละโซนใช้น้ำประมาณ 2 ลบ.ม./ชม. จึงสามารถทำได้ จะเห็นได้ว่าเราสามารถแบ่งพื้นที่ 1,3 และ 4 เป็น 2 โซนเพื่อให้ใช้น้ำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณโซนละ 2 ลบ.ม./ชม. ซึ่งแต่ละโซนอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าเล็กน้อย โดยสรุปแล้วเราจะสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 4 โซนดังนี้

โซน 1
โซน 2
โซน 3
โซน 4
ประเภทสปริงเกลอร์
รัศมี(เมตร)
แรงดัน(บาร์)
อัตราการจ่ายน้ำ/หัว(ลบ.ม./ชม.)
จำนวนหัว
อัตราการจ่ายน้ำรวม(ลบ.ม./ชม.)
จำนวนหัว
อัตราการจ่ายน้ำรวม(ลบ.ม./ชม.)
จำนวนหัว
อัตราการจ่ายน้ำรวม(ลบ.ม./ชม.)
จำนวนหัว
อัตราการจ่ายน้ำรวม(ลบ.ม./ชม.)
หัว6304+7370มุมฉีด90องศา
3.7
1.4
0.13
4
0.52


6
0.78


หัว6304+7370มุมฉีด180องศา
3.7
1.4
0.24
8
1.92


5
1.2


หัวPro5500/x2-550#54
7
1.4
0.36


6
2.16




หัวPro06000/x2-600#6
9.8
1.4
0.32






6
1.92




















































รวม                       2.44
รวม                                                                     2.16
รวม                                                        1.98
รวม                                                 1.92
    -โซนที่ 1 : พื้นที่ 1 ใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น 6304 และหัวฉีด 7370 ที่สามารถฉีดได้ 3.7 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์ ใช้ปริมาณน้ำรวมทั้งหมด 2.44 ลบ.ม./ชม.
    -โซนที่ 2 : พื้นที่ 2 ใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น PRO 5500/X2-550 หัวฉีดเบอร์ 54 ที่สามารถฉีดได้ 7.0 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์ ใช้ปริมาณน้ำรวมทั้งหมด 2.16 ลบ.ม./ชม.
    -โซนที่ 3: พื้นที่ 3 และ 4 ใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น 6304 และหัวฉีด 7370 ที่สามารถฉีดได้ 3.7 เมตร ที่แรงดัน 1.4 บาร์ ใช้ปริมาณน้ำรวมทั้งหมด 1.98 ลบ.ม./ชม.
    -โซนที่ 4 : พื้นที่ 5 ใช้หัวสปริงเกลอร์รุ่น PRO 6000/X2-600 หัวฉีดเบอร์ 6 ที่สามารถฉีดได้ 9.8เมตร ที่แรงดัน 1.4บาร์ ใช้ปริมาณน้ำรวมทั้งหมด 1.92 ลบ.ม./ชม.
     การเลือกขนาดท่อ และการวางแนวทางเดินท่อ
     เมื่อแบ่งโซนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกขนาดท่อให้เหมาะสม ท่อพีอี(Polyethylene) เป็นท่อที่เหมาะสมและใช้กันมากที่สุดในงานระบบรดน้ำต้นไม้ การกำหนดขนาดท่อสามารถทำได้อย่างง่าย ๆ โดยการใช้ปริมาณการใช้น้ำของโซนที่ใช้น้ำมากที่สุด และเทียบกับตารางอัตราการไหลสูงสุดในท่อพีอี PN 4

     ตาม ตัวอย่างปริมาณน้ำที่มากที่สุดคือโซน 1 ใช้น้ำอยู่ที่ 2.44 ลบ.ม./ชม. หากดูตามตารางแล้วท่อขนาด 25 ม.ม. มีอัตราการจ่ายน้ำสูงสุดอยู่ที่2.59 ลบ.ม./ชม. ซึ่งมากกว่าปริมาณน้ำที่โซนที่ 1 ต้องการใช้ แต่อย่างไรก็ตามอัตราการจ่ายน้ำสูงสุดดังกล่าวยังไม่ได้คิดถึงค่าความสูญ เสียจากแรงเสียดทานของท่อ ข้อต่อ และอุปกรณ์อื่น ๆ ดั้งนั้นการเลือกท่อจึงควรเลือกท่อโดยเผื่ออัตราการใช้น้ำเพิ่มขึ้นไปอีก ประมาณ 30% ดังนั้นอัตราการใช้น้ำของโซนที่ 1 จะกลายเป็น 2.44 1.30 = 3.172 ลบ.ม. /ชม. จึงควรใช้ท่อขนาด 32 มม. โซนอื่น ๆ ก็ควรใช้ท่อขนาด 32 ม.ม. ด้วยเช่นกัน
     การ เดินท่อควรเดินตามแนวขอบต่าง ๆ เพื่อความเป็นระเบียบและสวยงาม อีกทั้งยังสามารถรู้ตำแหน่งของท่อได้ง่ายเมื่อต้องการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษา ตามรูปตัวอย่างการเดินท่อ และแบ่งโซน
     การเลือกปั๊ม
     ปั๊ม เป็นเสมือนหัวใจของระบบรดน้ำ เนื่องจากน้ำจะสามารถถูกฉีดออกำจากหัวสปริงเกลอร์ได้ จะต้องมีแรงดันน้ำมาเป็นตัวขับ โดยแรงดันดังกล่าวได้มาจากการทำงานของปั๊มน้ำ การเลือกปั๊มน้ำที่ไม่เหมาะสมจะทำให้ระบบไม่สามารถทำงานได้ หรืออาจทำให้ระบบรับภาระเกินความจำเป็นการเลือกปั๊มอย่างง่าย ๆ สามารถทำได้โดยการดูกราฟความสามารถของปั๊มน้ำของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายนั้น ๆ
     จาก ตัวอย่างระบบถูกออกแบบให้ใช้งานที่แรงดัน 1.4 บาร์ ณ. จุดหัวฉีดสปริงเกลอร์ ดั้งนั้นหากคำนึงถึงค่าความสูญเสียจากแรงเสียดทานของท่อข้อต่อ และอุปกรณ์ต่าง ๆแล้ว เราต้องการปั๊มที่มีแรงดันสูงกว่าแรงดันที่ต้องการ วิธีการคำนวณเพื่อหาแรงดันที่เหมาะสมนั้น ต้องใช้สูตรต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย และวิธีการคำนวณมีความซับซ้อน อย่างไรก็ตามวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการเผื่อแรงดันจากแรงดันที่ต้องการ ณ. จุดหัวฉีดสปริงเกลอร์ขึ้นไปอีก 40-70% ขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่ ลักษณะการวางท่อ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ในที่นี้เนื่องจากระบบใช้แรงดันค่อนข้างต่ำเราสามารถเผื่อแรงดันได้อีกที่ 70 % ดังนั้นแรงดันที่ปั๊มสามารถทำได้จะต้องอยู่ที่ 1.4 1.7=2.38 หรือประมาณ2.4 บาร์ (Head 24เมตร)
      เมื่อเรารู้แรงดัน หรือ Head ของ ปั๊มที่เราต้องการแล้ว เราต้องรู้อัตราการส่งน้ำที่ปั๊มต้องทำได้ด้วย เนื่องจากเราได้มีการคำนวณอัตราดังกล่าวไว้แล้วเพื่อใช้ในการเลือกท่อ เราสามารถนำคำดังกล่าวมา เพื่อใช้ในการเลือกท่อ เราสามารถนำคำดังกล่าวมา เพื่อใช้ในการเลือกปั๊มด้วยเช่นกัน ค่าปริมาณน้ำที่ปั๊มต้องสามารถทำได้คืออย่างน้อย 3.172 ลบ.ม./ชม. หรือประมาณ 3.2 ลบ.ม./ชม.
     ดังนั้นปั๊มที่ต้องการเพื่อใช้สำหรับระบบตามตัวอย่างต้องมีความสามารถ ณ จุดใช้งานดังนี้
        H (Head)                     =   24 เมตร หรือ 2.4 บาร์
        Q (อัตราการจ่ายน้ำ)    =    32 ลบ.ม./ชม.
        จาก นั้นเรานำทั้งสองค่าดังกล่าวเทียบกับตารางและกราฟความสามารถของปั๊ม เพื่อเลือกปั๊มที่ถูกต้องได้ ข้อควรระวังคือตัวเลขดังกล่าวต้องเป็นที่จุดใช้งานบริเวณกลางเส้นกราฟของ ปั๊ม ไม่ใช่ตัวเลขอัตราสูงสุดที่ปั๊มทำได้

ปริมาณน้ำที่ต้องการ
     ปริมาณ น้ำที่พืชต้องการสามารถจำแนกออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ สวน ไม้ดอกไม้ประดับ(พุ่มไม้) สนามหญ้า และไม้ในกระถางหรือระเบียง ในการแบ่งพื้นที่การให้น้ำให้คำนึงถึงสภาพพื้นที่ เช่น ในร่มหรือกลางแจ้ง เมื่อสามารถทำความเข้าใจกับปริมาณน้ำที่พืชต้องการ จะช่วยให้การวางผังการรดน้ำในแต่ละกลุ่มพืชมีความชัดเจนขึ้น เพื่อให้ง่ายในการวางแผนตารางข้างล่างนี้ จะบอกถึงระยะเวลาในการรดน้ำโดยทั่วไปของพืชแต่ละกลุ่ม และวิธีการรดน้ำแต่ละแบบ แต่ท่านควรปรับระยะเวลาให้เหมาะสมตามสภาพภูมิอากาศและพื้นที่ของท่าน




ปริมาณน้ำที่ต้องการ
ชนิดของระบบรดน้ำ
ลักษณะดิน
อากาศเย็น
อากาศอบอุ่น
อากาศร้อน
สวน   
 มินิสปริงเกลอร์
ดินเหนียว
30 นาที ทุก ๆ 3 วัน
35 นาที ทุก ๆ 2 วัน
35 นาที ทุกวัน
   ดินทราย
15 นาที ทุก ๆ 2 วัน
15 นาที ทุกวัน
15 นาที ต่อ 2 วันครั้ง
พุ่มไม้
 ระบบน้ำหยด
ดินเหนียว
3 ชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง
3 ชั่วโมง ทุก ๆ 3 วัน
4 ชั่วโมง ทุก ๆ 2 วัน
   ดินทราย
1 ชั่วโมง ทุก ๆ 2 วัน
2 ชั่วโมง ทุก ๆ 2 วัน
2 ชั่วโมง ทุกวัน
ไม้กระถาง
ระบบน้ำหยด
   ดินผสม
ทุก ๆ 2 วัน จนเต็มกระถาง
ทุกวันจนเต็มกระถาง
ทุกวัน จนเต็มกระถาง
สนามหญ้า
POP UP(หัวฉีดสเปรย์)
ดินเหนียว
15 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
15 นาที ทุก ๆ 4 วัน
35 นาที ทุก ๆ 2 วัน
   ดินทราย
10-15 นาที ทุก ๆ 4 วัน
10-15 นาที ทุก ๆ 2 วัน
10-15 นาที ทุกวัน
สนามหญ้า
POP UP(เกียร์ไดร์พ)
ดินเหนียว
1 ชั่วโมง สัปดาห์ละครั้ง
1 ชั่วโมง ทุก ๆ 4 วัน
1 ชั่วโมง ทุก ๆ 2 วัน
  ดินทราย
30 นาที ทุก ๆ 4วัน
30 นาที ทุก ๆ 2 วัน
 30 นาที ทุกวัน

หมายเหตุ: ตารางดังกล่าว เป็นแนวทางการให้น้ำ เวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและพื้นที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น